วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สมองสองซีก ระบบการศึกษา และการพังทลาย

    เมื่อตอนที่ผมเป็น รอง ผอ.รร.พธ.พธ.ทร.ผมสนใจศึกษาเกี่ยวกับวิธีการที่จะเพิ่มศักยภาพการเรียนรุู้ของคนเรา เพราะผมถือว่า "เรียนอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการรู้ว่าจะเรียนรู้อย่างไร" ผมจึงสนใจเรื่องเกี่ยวกับการใช้สมองในการเรียนรู้ด้วย

    บทความต่อไปนี้ ผมเอามาจากบล็อก [T]issues 2.1 บทความเรื่อง
สมองสองซีก ระบบการศึกษา และการพังทลาย ดูเพิ่มเติมได้ที่
http://www.vashira.com/tissues/index.php/archives/129

สมองสองซีก ระบบการศึกษา และการพังทลาย

i – สมองสองซีก


สมองของมนุษย์สองซีกนั้น แม้ลักษณะภายนอกจะใกล้เคียงกัน แต่กลับมีหน้าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง



     สมองซีกซ้ายเป็นส่วนที่เกี่ยวกับความคิดอย่างเป็นระบบ เช่น 1+1=2 แต่หากพิจารณาในด้านของความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สมองซีกนี้ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง มันสามารถทำสิ่งต่างๆได้ทันทีหลังจากผ่านการเรียนรู้แล้ว และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสมบูรณ์แบบ เป็นสมองของงานด้านจักรกล เป็นสมองของเหตุและผล ตรรกศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เป็นสมองซีกที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ ความเฉลียวฉลาด และความมีระเบียบวินัย

     ส่วนสมองซีกขวานั้นมีคุณสมบัติตรงข้ามกัน เป็นสมองซีกที่มีแต่ความไร้ระเบียบ ไร้รูปแบบ (เช่น 1+1=กระต่าย) เป็นสมองแห่งบทกวีมิใช่ร้อยแก้ว เป็นสมองแห่งความรักมิใช่เหตุผล สมองส่วนนี้ไวต่อความรู้สึก ความสวยงาม และเป็นสมองส่วนที่มองเห็นสิ่งที่เป็นต้นแบบ แต่มิใช่ประสิทธิภาพ นักสร้างสรรค์ไม่สามารถมีประสิทธิภาพสูงได้ แต่พวกเขาต้องทดลองสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ


     เมื่อตอนเราแรกเกิด สมองซีกขวานั้นเริ่มทำงาน ในขณะที่ซีกซ้ายยังหยุดนิ่ง หลังจากนั้นเราเริ่มสั่งสอนพวกเขา… เราสอนให้ยักย้ายพลังจากสมองซีกขวาไปสู่ซีกซ้าย ทำอย่างไรถึงจะหยุดการทำงานของซีกขวาเสีย? และเริ่มต้นการทำงานของซีกซ้าย

นั่นคือระบบการศึกษาตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย…






ระบบการเรียนที่พยายามทำลายสมองซีกขวา สร้างกฎเกณฑ์ต่างๆนาๆเพื่อลดอัตตาของเด็ก ตั้งแต่การตัดผมสั้นเกรียน (สั้นทำไม? ตบกระโหลกมันดี – รู้ไหมว่ามันหนาวนะว้อย) การเข้าแถวตอนเช้า การสอนให้ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองเพื่อทำข้อสอบ ในขณะที่คนออกข้อสอบกลับเปิดตำราออกข้อสอบสบายใจ (จะให้ยุติธรรมต้องให้คนออกข้อสอบท่องจำมาออกด้วยสิ) ฯลฯ


ช่วงอายุ 7-14 ปีของเด็กนั้น เราคือผู้ประสบความสำเร็จ แต่เด็กคือผู้ถูกฆ่าและถูกทำร้าย…
หลังจากนั้นเด็กๆจะไม่พยศต่อไป เขาจะเป็นพลเมืองดี เรียนรู้ความมีวินัย ภาษา และตรรกศาสตร์ พวกเขาจะเริ่มแข่งขันกันภายในโรงเรียน และลุกลามไปถึงข้ามโรงเรียน (สอบเอ็นทรานซ์) เขาจะเริ่มสนใจในอำนาจ เงินตรา เริ่มคิดถึงการได้เรียนสูงๆ เพื่อที่จะได้มีอำนาจมากๆ คิดถึงวิธีที่จะทำให้มีเงินมากๆ ได้เงินมากขึ้น มีเงิน มีบ้านหลังใหญ่ขึ้น และ…
เขาก็เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว…

     สมองซีกขวาจะเริ่มทำงานน้อยลงๆ หรือทำงานแต่เฉพาะเมื่อเราอยู่ในความฝัน หรืออยู่ในสภาวะหลับลึกหรือบางครั้ง เมื่อเราอยู่ใต้อำนาจของยาเสพย์ติด…

     อำนาจดึงดูดของยาเสพติดก็คือ ความสามารถในการปรับความคิดมนุษย์จากสมองซีกซ้ายไปสู่ซีกขวาได้โดยฉับพลัน

    มวลมนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรโดยปราศจากความรัก บทกวี และความสนุกสนาน? คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก คนรุ่นใหมทั่วโลกต่างแสดงถึงความโง่เขลาของสิ่งที่เรียกว่า “การศึกษา″


ii – ระบบการศึกษา


     ระบบการศึกษาที่สืบทอดกันมาแต่อดีตควรถูกรื้อทิ้งไปเสีย โลกการศึกษาควรได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างจริงจัง เด็กๆไม่ควรถูกบังคับให้ปฏิบัติในแบบแผนที่ซ้ำซากจำเจ






     ระบบการศึกษาของเราคืออะไรกันแน่? เราเคยไตร่ตรองเรื่องนี้บ้างไหม? สิ่งที่มันเป็นอยู่ คือการฝึกให้จำเท่านั้น เราไม่มีทางเกิดปัญญาด้วยกระบวนการนี้ได้ แต่กลับจะด้อยปัญญาลงทุกทีๆ จนโง่เขลาไปเลย! เด็กแต่ละคนเริ่มเข้าเรียนด้วยปัญญาที่เฉียบแหลม แต่มีน้อยเหลือเกินที่ก้าวออกจากมหาวิทยาลัยโดยที่ยังมีปัญญาดีอยู่


     การผ่านกระบวนการของมหาวิทยาลัยมักเน้นที่ความสำเร็จ ใช่ เราได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย แต่เราต้องแลกปริญญานั้นมาด้วยต้นทุนมหาศาล ซึ่งก็คือเราต้องสูญเสียปัญญาของเราไป เราต้องสูญเสียความสุข สูญเสียชีวิตของเราไป อันเนื่องมาจากสมองซีกขวาสูญเสียการทำงาน

     แล้วสิ่งที่เราเรียนรู้มีอะไรบ้าง? ข่าวสารข้อมูลไงล่ะ สมองของเราจะเต็มไปด้วยความทรงจำที่เราสามารถทบทวน หรืออธิบายซ้ำได้ ซึ่งนั่นก็คือวิธีการทดสองที่เราต้องผ่าน กล่าวคือ บุคคลจะได้รับการยอมรับว่าเฉลียวฉลาด หากเขาสามารถ “สำรอก” ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับการหยิบยื่นให้ ออกมาได้ – แต่ก่อนอื่นเขาจะถูกบังคับให้ “กล้ำกลืน” ข้อมูลเข้าไปเสียก่อน รับเข้าไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงเวลาทดสอบก็ค่อยสำรอกมันออกมา หากท่านสามารถสำรอกออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านคือคนฉลาด หรือหากท่านสำรอกได้เหมือนกับสิ่งที่กล้ำกลืนขย้อนเข้าไป ท่านคืออัจฉริยะ

     สิ่งที่ต้องทำความเขาใจในที่นี้คือ หากท่านจะสามารถ “สำรอก” สิ่งเดิมออกมาได้ นั่นหมายถึงสิ่งนั้นไม่ได้ผ่าน “กระบวนการย่อย” เลย – คนโง่เขลาที่สุด กลับถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ ถือเป็นสภาวะที่น่าเศร้าอย่างที่สุด
  
     ท่านทราบหรือไม่ว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ตกข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในฐานะที่เป็นผู้มีความหลักแหลมและความริเริ่มสร้างสรรค์ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะทำตัวโง่เขลาแบบที่ใครๆทุกคนทำอยู่

iii – การพังทลาย


     ในภูมิภาคเอเซีย สังคมที่มีระบบการศึกษา(สมองซีก)ซ้ายสุดโต่งเฉกเช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี, ไทย กำลังโดนการ “โต้กลับ” ของ(สมองซีก)ขวาอย่างวัฒนธรรมเกมส์ออนไลน์



     สมองซีกขวากำลังทำการปฎิวัติ โดยอาศัยเจ้านายตัวน้อยของมัน และความต้องการเสพจินตนาการ ความสุข อย่างไม่มีที่สิ้นสุด…
สมองซีกขวากำลังทวงอิสรภาพที่สูญเสียมาเนิ่นนาน

     ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่เราจะทำความเข้าใจสมองอีกส่วนหนึ่งที่เคยถูกปิดกั้นตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย – ทำความเข้าใจ เพ่ือจะได้สื่อสารกับเด็กของเรารู้เรื่อง

     “มอง” อย่างที่เค้ามอง ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น…


    เมื่อใดที่ผู้ใหญ่สังคมไทยทำความเข้าใจกับกระบวนการทำงานของสมองซีกขวา และให้โอกาสมันได้ทำงานบ้าง เมื่อนั้นเราคงไม่ได้ยินประโยคแบบนี้อีก

     “เกมส์อันตรายนะคะ GTA อะไรเนี่ย อย่าให้บุตรหลานของคุณเล่นนะคะ เล่นแล้วจะซึมซับความรุนแรง ประเดี๋ยวออกไปไล่ฆ่าใครต่อใครนะคะ”

     เปิดสวิตซ์สมองอีกซีกซะบ้าง
    เด็กไม่ใช่ควาย…

     หากกระบวนการปรับเข้าหากันของขวาและซ้าย ช้าเกินไปไม่ทันการ เมื่อนั้นเราอาจจะได้เห็น… การพังทลายของสังคม

อ้างอิง:
◦ข้อความส่วนใหญ่ (i, ii) หยิบยืมมาจากหนังสือชื่อ “คิดนอกรีต (Creativity)” ของท่าน Osho แปลโดยบริษัท สื่อดี จำกัด
◦ข้อความบางส่วน (i, ii) ผู้เขียนแต่งรูปประโยคใหม่
◦ข้อความอีกหลายส่วน (iii) ผู้เขียนเพิ่มเข้าไปเอง

     เป็นอย่างไรครับ ค่อนข้างแรงทีเดียว อ่านแล้วไม่ต้องเชื่อหมดก็ได้ แต่อยากให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับด้านการพัฒนาคนลองเอาไปคิดดูว่าเราจะสร้างคนหรือช่วยให้เขาสร้างตัวเองขึ้นมาอย่างไรให้เป็นประโยชน์ท้ังกับตัวเขาและองค์กรของเรา

การจัดการความรู้กับการบริหารราชการแนวใหม่